กระบวนการสร้างงานของโรงปั้นพระอุดรธานี เริ่มจากการออกแบบโดยการนำรูปต้นแบบที่ต้องการให้สร้าง หรือในกรณีที่คุณต้องการงานเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราก็สามารถผสมผสานศิลปะตามส่วนต่าง ๆ ของชิ้นงานตามไอเดียของคุณ เริ่มด้วยการออกแบบร่างภาพอย่างคร่าว จากนั้นเราจะเริ่มขึ้นรูปงานด้วยดินเหนียว และทำการปรับแต่งแบบชิ้นงานให้ตรงกับแบบ แล้ว จึงใส่รายละเอียดชิ้นงานในขั้นตอนการแต่งหุ่นขี้ผึ้ง เมื่อแบบผ่านแล้วต่อไปจะเป็นกระบวนการเททอง นำมาขัดและตกแต่งขั้นสุดท้าย จนกระทั่งออกมาเป็นผลงานที่สวยงาม ทรงคุณค่า และสง่างาม ตามความต้องการของคุณ
การสร้างงานประติมากรรมหนึ่งชิ้นไม่ใช่เพียงการปั้นและหล่อโลหะ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความประณีตในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การรับข้อมูลจากลูกค้า การออกแบบ จนถึงการหล่อโลหะและตกแต่งผลงานให้สมบูรณ์
โรงปั้นพระอุดรธานีได้วางแนวทางการทำงานอย่างเป็นระบบ แบ่งออกเป็น 16 ขั้นตอนหลัก เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจภาพรวมของกระบวนการทั้งหมดอย่างชัดเจน และสามารถติดตามความคืบหน้าได้ทุกช่วงเวลา
เรามุ่งเน้นให้ทุกขั้นตอนมีความถูกต้อง แม่นยำ และงดงามตามหลักศิลปะ โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการตรวจแบบและเสนอความคิดเห็นอย่างใกล้ชิด จนกว่าจะได้ผลงานที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ก่อนการปั้นหรือหล่อชิ้นงาน ทีมงานของเราจะพูดคุยกับลูกค้าอย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจถึง วัตถุประสงค์ รูปแบบ และความตั้งใจของผู้ว่าจ้าง โดยลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นงาน:
พระพุทธรูป (พระพุทธชินราช, สมเด็จโต, ปางสมาธิ ฯลฯ)
รูปเหมือนบุคคล (หลวงปู่, ครูบาอาจารย์, บุคคลสำคัญ หรือญาติ)
องค์เทพ หรือ งานประติมากรรมพิเศษอื่นๆ
เพื่อให้ชิ้นงานตรงตามความต้องการ โปรดเตรียมข้อมูลดังต่อไปนี้:
ภาพต้นแบบ
ควรเป็นภาพชัดเจน ด้านหน้า และด้านข้าง (ถ้ามีหลายมุมจะช่วยมาก)
ขนาดของงาน
งานนั่ง ระบุเป็นขนาดหน้าตักจากเข่าซ้ายไปเข่าขวา เช่น 9 นิ้ว, 60 นิ้ว, หรือ “ขนาดเท่าองค์จริง” (29-30 นิ้ว) เป็นต้น
งานยืน ระบุเป็นความสูง
วัสดุที่ต้องการหล่อ
ตัวเลือกหลัก ได้แก่:
ทองเหลือง (นิยมมาก แข็งแรง ราคากลาง)
สำริด (ผิวคลาสสิก งามแบบโบราณ ราคาสูง)
อลูมิเนียม / เรซิ่นไฟเบอร์กลาส (ในกรณีที่ต้องการน้ำหนักเบา)
หากลูกค้าไม่แน่ใจ ทางทีมช่างยินดีให้คำปรึกษาเรื่อง สัดส่วน ความเหมาะสมของวัสดุ และงบประมาณ เพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุดทั้งด้านศิลปะและความคุ้มค่า
หลังจากที่ลูกค้าเลือกปาง หรือรูปแบบศิลปะที่ต้องการแล้ว ทีมช่างจะเริ่มกระบวนการจัดทำแบบร่าง โดยอิงจาก ภาพต้นแบบและข้อมูลอ้างอิงที่ลูกค้าจัดเตรียมให้
กรณีงานพระพุทธรูป
ลูกค้าสามารถเลือกองค์ประกอบจากหลายภาพ เช่น
พระพักตร์จากองค์หนึ่ง
ฐานจากอีกองค์หนึ่ง
รายละเอียดจีวร มือ หรือเครื่องทรงจากหลายภาพ
ทีมช่างจะนำภาพทั้งหมดมาผสมผสาน ออกแบบให้กลมกลืนเป็นองค์เดียวกันอย่างลงตัว
เพื่อสะท้อนความศรัทธาและเจตนารมณ์ของลูกค้าได้อย่างชัดเจนที่สุด
กรณีงานประติมากรรมรูปเหมือน
สำหรับงานรูปเหมือนบุคคล เช่น พระอาจารย์, บุคคลสำคัญ หรือญาติ หากมีภาพถ่ายหลายมุม (ด้านหน้า ด้านข้าง ด้านเฉียง) จะช่วยให้ทีมช่างเข้าใจโครงสร้างใบหน้าและสัดส่วนได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น แนะนำให้ใช้ภาพในช่วงวัยเดียวกันทั้งหมด เพื่อไม่ให้เกิดความคลาดเคลื่อนด้านอายุ ใบหน้า หรือสัดส่วน
ลูกค้าสามารถเลือกใช้:
ภาพหลัก สำหรับการปั้นโครงสร้างใบหน้าโดยรวม
ภาพที่สื่ออารมณ์ หรือท่าทางที่ต้องการ เช่น สีหน้าแบบยิ้ม สงบ นั่งสมาธิ
ภาพแต่งกาย / เครื่องแต่งกาย เพิ่มเติม เช่น สบง จีวร เสื้อผ้า ฯลฯ
เมื่อแบบร่างองค์พระหรือรูปเหมือนเสร็จสมบูรณ์ จะนำเสนอให้ลูกค้าตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมด ปรับแก้ได้ตามความพอใจก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิต การออกแบบนี้จะถูกจัดทำเป็น เอกสารแนบท้ายสัญญา เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันแบบก่อนเริ่มต้นงานจริง
ทีมช่างจะเริ่มขึ้นรูปหุ่นต้นแบบด้วยดินเหนียว เพื่อกำหนดโครงสร้างภาพรวมของงานปั้นในเชิงรูปธรรม การปั้นดินเหนียวในขั้นตอนนี้จะมุ่งเน้นไปที่การกำหนดท่าทาง สัดส่วน และองค์ประกอบหลักของชิ้นงาน โดยยังไม่ลงรายละเอียด เช่น ริ้วจีวร ผิวหน้า หรือองค์ประกอบเล็ก ๆ เป็นต้น
ท่าทางขององค์พระหรือรูปเหมือนจะถูกวางขึ้นตามแนวร่างที่ตกลงไว้ เช่น การยืน การนั่ง หรือการเคลื่อนไหวในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เพื่อแสดงออกถึงอิริยาบถที่ต้องการให้สื่อสารออกมา สัดส่วนโดยรวมจะถูกกำหนดตามหลักของความงามทางศิลปะ เพื่อให้รูปทรงของชิ้นงานมีความสมดุล สวยงาม และมีน้ำหนักสายตาที่พอดีในทุกมิติ ไม่ว่าจะมองจากมุมใด
ในระยะนี้ ทีมช่างจะขึ้นรูปองค์ประกอบสำคัญต่างๆ ไว้ในระดับโครงสร้าง เช่น ตำแหน่งของศีรษะ ลำตัว แขน ขา รวมไปถึงเครื่องแต่งกายหรือจีวรขององค์พระ รวมถึงท่ามือของรูปเหมือน โดยยังไม่เน้นลวดลายหรือผิวสัมผัสที่ละเอียด งานปั้นในระยะนี้จะใช้เพื่อดูภาพรวมของงาน ว่ามีสัดส่วนและท่าทางถูกต้องตามความต้องการหรือไม่
หุ่นต้นแบบจะถูกนำเสนอให้ลูกค้าตรวจสอบอย่างรอบคอบ หากมีจุดใดที่ต้องการปรับเปลี่ยน สามารถแจ้งทีมช่างเพื่อแก้ไขได้ทันที เมื่อลูกค้าอนุมัติแล้ว จึงจะดำเนินการเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
หลังจากได้หุ่นต้นแบบดินเหนียวที่ผ่านการอนุมัติจากลูกค้าแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการสร้างแม่พิมพ์ด้วยวิธี “พิมพ์ทุบ” ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการเปลี่ยนวัสดุจากดินเหนียวไปเป็นขี้ผึ้ง พิมพ์ทุบในที่นี้หมายถึงการใช้ปูนปลาสเตอร์หุ้มลงบนหุ่นดินเหนียว เพื่อให้ได้แม่พิมพ์ที่สามารถหล่อชิ้นงานด้วยวัสดุอื่นได้ภายหลัง โดยช่างจะพอกปูนให้ทั่วหุ่น และควบคุมความหนาให้เหมาะสมต่อการใช้งานจริง
แม่พิมพ์ที่ได้จะต้องมีความแข็งแรงพอที่จะคงรูปในขั้นตอนถัดไป ขณะเดียวกันยังต้องสามารถถอดแยกออกจากกันได้ในภายหลังโดยไม่ทำลายรายละเอียดของหุ่นมากเกินไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความชำนาญของช่างเป็นอย่างมาก
เมื่อปูนปลาสเตอร์แข็งตัวดีแล้ว ช่างจะเริ่มทำการแกะหรือแยกแม่พิมพ์ออกจากหุ่นดินเหนียว การแยกพิมพ์ในขั้นตอนนี้จะทำอย่างระมัดระวัง โดยจะเปิดพิมพ์ออกเป็นชิ้น ๆ ตามแนวที่ออกแบบไว้ตั้งแต่ต้น หุ่นดินเหนียวที่อยู่ภายในจะถูกทำลายลงไปตามธรรมชาติของกระบวนการ และเหลือไว้เฉพาะแม่พิมพ์ปูนที่มีลักษณะภายในตรงกับรูปทรงเดิมของหุ่นต้นแบบ
การแกะพิมพ์เป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องการความละเอียดสูง เพราะแม่พิมพ์นี้จะถูกนำไปใช้เป็นแม่แบบสำหรับหล่อหุ่นขี้ผึ้งในลำดับถัดไป หากแม่พิมพ์เสียหาย หรือมีตำหนิในจุดสำคัญ อาจต้องย้อนกลับไปทำใหม่ตั้งแต่ต้น
เมื่อแม่พิมพ์ปูนผ่านการเตรียมพร้อมแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการหล่อหุ่นขี้ผึ้ง ซึ่งเป็นการสร้างแบบจำลองชิ้นงานขึ้นใหม่โดยใช้วัสดุขี้ผึ้งแทนดินเหนียว ทีมช่างจะหลอมขี้ผึ้งให้เป็นของเหลว แล้วเทลงไปภายในแม่พิมพ์ที่แยกชิ้นไว้ก่อนหน้านี้ จากนั้นรอให้ขี้ผึ้งแข็งตัว
หุ่นขี้ผึ้งที่ได้จะถอดแบบมาจากต้นฉบับดินเหนียวทุกส่วน ทั้งรูปร่าง ท่าทาง และองค์ประกอบหลัก โดยมีข้อได้เปรียบคือสามารถนำไปแกะลายหรือปรับรายละเอียดเพิ่มเติมได้สะดวก เนื่องจากวัสดุขี้ผึ้งมีความแข็งพอประมาณแต่ยังสามารถตกแต่งต่อได้ง่าย
ในขั้นตอนนี้ ช่างจะควบคุมความหนาของชั้นขี้ผึ้งให้เหมาะสมกับระบบหล่อโลหะที่ใช้งานต่อไป โดยต้องมีความสม่ำเสมอทั่วทั้งชิ้นงาน เพื่อให้ได้ผลการหล่อที่แม่นยำและไม่เกิดความคลาดเคลื่อนทางรูปทรง
หลังจากได้หุ่นขี้ผึ้งที่สมบูรณ์ตามแบบต้นฉบับแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการเทปูนเข้าไปด้านในของหุ่น เพื่อสร้างแกนกลางภายในที่แข็งแรง ช่วยให้หุ่นขี้ผึ้งคงรูปได้อย่างมั่นคงในระหว่างกระบวนการหล่อด้วยโลหะร้อน
ปูนที่ใช้จะเป็นปูนปลาสเตอร์ผสมทราย ซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมในการใช้งานร่วมกับขี้ผึ้ง โดยสามารถแข็งตัวได้ดี ไม่ก่อให้เกิดแรงดันจนทำให้เปลือกขี้ผึ้งเสียรูปหรือแตกร้าว ในกรณีที่ชิ้นงานมีขนาดใหญ่หรือมีส่วนยื่นที่ซับซ้อน การเทปูนแกนนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการผิดรูปเมื่อรับความร้อนในขั้นตอนเททอง
เมื่อปูนแข็งตัวดีแล้ว หุ่นขี้ผึ้งจะมีลักษณะเป็นเปลือกบางด้านนอกที่ห่อหุ้มแกนปูนปลาสเตอร์ผสมทรายไว้ด้านใน
เมื่อปูนที่เทไว้ด้านในหุ่นขี้ผึ้งแข็งตัวเต็มที่แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทุบแม่พิมพ์ปูนปลาสเตอร์ภายนอกออก เพื่อให้เหลือไว้เฉพาะหุ่นขี้ผึ้งที่มีแกนปูนอยู่ภายใน กระบวนการนี้เป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากขี้ผึ้งมีความเปราะและไวต่อแรงกระแทก การทุบพิมพ์จึงต้องทำอย่างช้า ๆ และรอบคอบ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผิวของหุ่น
หุ่นขี้ผึ้งที่ได้จากกระบวนการนี้จะเป็นแบบจำลองที่มีโครงสร้างภายในแข็งแรง สามารถเคลื่อนย้ายและจับยึดได้มั่นคง เหมาะสำหรับใช้ในการตกแต่งรายละเอียดเพิ่มเติมในขั้นตอนต่อไป
ในขั้นตอนนี้ ช่างจะเริ่มจากการปรับผิวขี้ผึ้งให้เรียบเนียน ลบรอยต่อหรือรอยจากแม่พิมพ์ที่อาจหลงเหลืออยู่ จากนั้นจะดำเนินการปั้นและแกะลายเพิ่มเติมเพื่อเก็บรายละเอียดที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นริ้วจีวร เส้นผม ลายผ้า ลายเครื่องทรง สีหน้า ท่ามือ หรือองค์ประกอบเฉพาะอื่น ๆ ตามแบบที่ตกลงไว้
เมื่อการแต่งขี้ผึ้งเสร็จสิ้น หุ่นขี้ผึ้งที่ได้จะมีความใกล้เคียงกับผลงานจริงที่สุด ทั้งในด้านสัดส่วน องค์ประกอบ และความประณีตทางศิลปะ ซึ่งในขั้นตอนนี้ ลูกค้าจะต้องเข้ามาตรวจแบบอีกครั้งอย่างละเอียด เพื่อยืนยันว่าหุ่นขี้ผึ้งที่เห็นตรงตามแบบที่ตกลงไว้ในสัญญาและเป็นที่พึงพอใจในทุกรายละเอียด
การอนุมัติแบบหุ่นขี้ผึ้งในขั้นตอนนี้ถือเป็นการยืนยันสุดท้าย ก่อนที่จะเริ่มต้นกระบวนการหล่อจริงด้วยโลหะ ซึ่งจะไม่สามารถแก้ไขรูปทรงหรือรายละเอียดใด ๆ ได้อีกหลังจากนั้น
ดังนั้นการตรวจสอบในขั้นตอนนี้จึงต้องทำอย่างรอบคอบ และถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดลำดับหนึ่งของกระบวนการผลิตทั้งหมด
หลังจากหุ่นขี้ผึ้งได้รับการแต่งรายละเอียดอย่างสมบูรณ์ และผ่านการอนุมัติจากลูกค้าแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการทำแม่พิมพ์สำหรับหล่อโลหะ โดยใช้วิธีพอกหุ้มตัวหุ่นด้วยปูนปลาสเตอร์ผสมทราย เพื่อสร้างเปลือกภายนอกที่แข็งแรงและทนความร้อน
ช่างจะเริ่มจากการพอกชั้นปูนบาง ๆ ลงบนผิวของหุ่นขี้ผึ้ง เพื่อให้สามารถจับรายละเอียดได้ครบถ้วน จากนั้นจึงค่อย ๆ เสริมชั้นพอกให้หนาขึ้นเรื่อย ๆ จนได้ความหนาที่เหมาะสมตามขนาดและน้ำหนักของชิ้นงานจริง เมื่อพอกเสร็จแล้ว ตัวแม่พิมพ์จะถูกนำไป รัดด้วยปลอกเหล็ก รอบตัว เพื่อเสริมโครงสร้างให้มั่นคง ป้องกันการแตกร้าวหรือเสียรูปในระหว่างกระบวนการเทโลหะหลอมที่มีอุณหภูมิสูง
การรัดปลอกเหล็กนี้ยังช่วยให้สามารถเคลื่อนย้ายแม่พิมพ์ได้สะดวกขึ้น และควบคุมการหดตัวของพิมพ์ขณะให้ความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันจะมีการจัดเตรียมช่องสำหรับระบายขี้ผึ้ง และช่องสำหรับเทโลหะไว้บนแม่พิมพ์ตามตำแหน่งที่ออกแบบไว้ล่วงหน้า เพื่อให้พร้อมสำหรับกระบวนการหล่อจริงในขั้นตอนต่อไป
ช่างจะนำแม่พิมพ์ไปเผาเพื่อไล่ขี้ผึ้ง (สำรอกขี้ผึ้ง) ออกจากภายใน ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการเตรียมแม่พิมพ์สำหรับการหล่อโลหะ
แม่พิมพ์แต่ละชิ้นจะถูกนำเข้าเตาเผาโดยค่อย ๆ เพิ่มอุณหภูมิอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ขี้ผึ้งภายในละลายและไหลออกทางช่องระบายที่เตรียมไว้ การควบคุมอุณหภูมิในระยะนี้จะต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดแรงดันภายในที่อาจทำให้พิมพ์แตกร้าว นอกจากการระบายขี้ผึ้งแล้ว ความร้อนยังช่วยทำให้แม่พิมพ์แห้งสนิท ปราศจากความชื้น และมีความพร้อมในการรับโลหะหลอมร้อนในขั้นตอนถัดไป
เมื่อขี้ผึ้งทั้งหมดถูกไล่ออกจนหมด และแม่พิมพ์ผ่านการอบด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมแล้ว จะปล่อยให้เย็นลงหรือรักษาอุณหภูมิไว้ตามเทคนิคของช่าง เพื่อเตรียมเข้าสู่กระบวนการหล่อโลหะจริงในลำดับต่อไป
เมื่อแม่พิมพ์ผ่านการเผาเพื่อไล่ขี้ผึ้งและแห้งสนิทเรียบร้อยแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการหล่อโลหะหรือการเททอง ซึ่งเป็นกระบวนการเปลี่ยนแบบหุ่นขี้ผึ้งให้กลายเป็นชิ้นงานจริงที่ทำจากวัสดุโลหะ เช่น ทองเหลือง หรือสำริด ตามที่ลูกค้าเลือกไว้ตั้งแต่ต้น
ช่างจะเตรียมโลหะหลอมโดยนำโลหะดิบใส่เบ้าและให้ความร้อนจนกระทั่งหลอมละลายเป็นของเหลวที่มีอุณหภูมิสูง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดของโลหะ เมื่อตรวจสอบว่าโลหะหลอมมีคุณสมบัติพร้อมใช้งานแล้ว จึงเริ่มกระบวนการเท
การเทโลหะจะต้องทำด้วยความรวดเร็ว แม่นยำ และต่อเนื่อง โดยจะเทลงไปในแม่พิมพ์ที่ยังคงความร้อนอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้โลหะสามารถแทรกซึมเข้าไปตามช่องว่างและรายละเอียดของพิมพ์ได้อย่างสมบูรณ์ การควบคุมอุณหภูมิทั้งของโลหะและแม่พิมพ์ในช่วงเวลานี้มีความสำคัญอย่างมาก เพราะจะส่งผลต่อความเรียบของผิวงาน และการเกิดหรือไม่เกิดฟองอากาศภายในชิ้นงาน
หลังจากเทโลหะเสร็จแล้ว จะปล่อยให้แม่พิมพ์เย็นตัวลงอย่างช้า ๆ เพื่อให้โลหะแข็งตัวเต็มที่ และเตรียมพร้อมสำหรับการแยกชิ้นงานออกจากแม่พิมพ์ในขั้นตอนถัดไป
หลังจากที่เทโลหะหลอมลงในแม่พิมพ์และปล่อยให้เย็นตัวจนโลหะแข็งตัวดีแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการทุบพิมพ์ ซึ่งเป็นกระบวนการแยกชิ้นงานโลหะออกจากพิมพ์ปูนที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอก
แม่พิมพ์ที่ใช้ในกระบวนการหล่อนั้นทำจากปูนปลาสเตอร์ผสมทราย ซึ่งแม้จะมีความแข็งแรงพอรับแรงในระหว่างเทโลหะร้อน แต่เมื่อโลหะแข็งตัวและเย็นลงแล้ว โครงสร้างของปูนจะเริ่มเปราะ และสามารถทุบออกได้ด้วยเครื่องมือ เช่น ค้อน เหล็กแงะ หรือใช้แรงกระแทกอย่างระมัดระวัง
การทุบพิมพ์จะต้องทำโดยใช้ความชำนาญ เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนผิวชิ้นงานโลหะที่เพิ่งหล่อเสร็จ ซึ่งยังอาจมีความเปราะหรือไม่เย็นสนิทดีพอ โดยเฉพาะบริเวณที่มีรายละเอียดหรือส่วนยื่นบาง ๆ ที่เสี่ยงต่อการหักหรือบิ่น
เมื่อทุบพิมพ์ออกจนหมดแล้ว จะเห็นรูปทรงของงานหล่อทั้งหมดอย่างชัดเจน พร้อมสำหรับเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
หลังจากแยกชิ้นงานออกจากแม่พิมพ์แล้ว ชิ้นงานโลหะที่ได้จะยังคงมีส่วนเกินจากการหล่อ เช่น ทางเท ทางอากาศ หรือแนวเชื่อมระหว่างชิ้นส่วนในกรณีที่หล่อแยก ช่างจะเริ่มกระบวนการตัดแต่งชิ้นงานเพื่อให้ได้รูปทรงที่สมบูรณ์และตรงตามแบบที่กำหนดไว้
ในกรณีที่ชิ้นงานมีการเชื่อมต่อหลายชิ้นเข้าด้วยกัน จะมีการเก็บแนวเชื่อมให้เรียบร้อยเพื่อให้ผิวของชิ้นงานดูกลมกลืนเป็นเนื้อเดียว ไม่ปรากฏรอยต่อที่เห็นได้ชัด หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการขัดผิวโดยรวม เพื่อปรับให้ผิวโลหะเรียบสม่ำเสมอทั้งชิ้น และเตรียมพร้อมสำหรับการทำสีหรือทำผิวในขั้นตอนต่อไป
หลังจากชิ้นงานผ่านกระบวนการตัดแต่งและขัดผิวเรียบร้อยแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการทำสี ซึ่งเป็นการตกแต่งผิวภายนอกของงานให้มีลักษณะตามที่ตกลงไว้กับลูกค้า โดยลักษณะของสีและวิธีการทำผิวสามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมกับรูปแบบงานและความต้องการของผู้ว่าจ้าง
การทำสีอาจอยู่ในรูปแบบของการพ่นสี เช่น สีทอง สีเงิน หรือสีพิเศษอื่น ๆ ที่ให้ความเงา หรือความด้านตามที่ต้องการ ในบางกรณีอาจใช้วิธีการรมดำ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ให้ผิวงานมีสีเข้มแบบธรรมชาติ มีมิติและความลึก เหมาะกับงานที่ต้องการความขรึม สงบ หรือดูเป็นงานศิลป์คลาสสิก
การเลือกวิธีทำสีจะเป็นไปตามที่ลูกค้าตกลงไว้ตั้งแต่ต้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามจินตนาการ และเหมาะสมกับจุดประสงค์ของการใช้งานจริง
เมื่อชิ้นงานเสร็จสมบูรณ์ตามกระบวนการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการปั้น หล่อ ตัดแต่ง หรือทำสีเรียบร้อยแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย คือการส่งมอบงานให้กับลูกค้า ซึ่งจะดำเนินการตามข้อตกลงที่ระบุไว้ก่อนเริ่มต้นทำงาน
ขั้นตอนการส่งมอบถือเป็นการปิดกระบวนการทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ โดยมีเป้าหมายให้ลูกค้าได้รับผลงานที่พร้อมใช้งานและตรงตามความต้องการในทุกรายละเอียด
นี่คือภาพถ่ายจริงจากกระบวนการผลิตของเรา ตั้งแต่การออกแบบจนถึงงานเสร็จสมบูรณ์ เพื่อให้คุณเห็นทุกขั้นตอนว่าชิ้นงานที่คุณสั่งปั้นนั้นผ่านการทำงานอย่างประณีตและใส่ใจในทุกรายละเอียด
ขั้นตอนการสร้างงานบางงาน จะต้องผ่านกระบวนการออกแบบ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด
ขึ้นรูปร่างโดยคร่าวจากข้อมูลที่มีอยู่ ด้วยดินเหนียวที่ใช้สำหรับงานปั้นโดยเฉพาะ พร้อมเก็บรายละเอียดจนเสร็จสมบูรณ์
คุณสมบัติของขี้ผึ้งนั้นจะสามารถทำงานเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ ริ้วรอยเหี่ยวย่น หรือการปั้นลวดลายต่าง ๆ ได้อย่างคมชัด
ชิ้นงานจะถูกนำไปไฟเพื่อสำรอกขี้ผึ้งออกให้หมด แล้วเททองด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม น้ำทองจะลงไปในช่องว่างแทนที่ขี้ผึ้งที่ถูกสำรอกออก
ชิ้นงานจะถูกตกแต่งให้สวยงาม ด้วยการเชื่อม การขัดให้เรียบเนียน ก่อนนำเข้าสู่กระบวนการทำสีต่าง ๆ ตามความต้องการ
ชิ้นงานเสร็จสมบูรณ์ ลูกค้าสามารถเข้ามารับงานได้ทันที หรือต้องการให้เราประสานรถขนส่งได้ตามต้องการ